ภาพยนตร์สุดสะเทือนใจ Schindler’s List เต็มไปด้วยความซึ้ง
ภาพยนตร์ที่ทำให้เรารู้สึกซึ้งได้ส่วนใหญ่ก็มักจะมาในรูปแบบของภาพยนตร์โรแมนติก แต่ความจริงแล้วยังมีภาพยนตร์อีกหลากหลายแนวที่จะทำให้เรารู้สึกทั้งซาบซึ้งและสะเทือนใจไปได้พร้อม ๆ กัน หนึ่งในนั้นก็คือภาพยนตร์แนวดราม่าสงครามโดยเฉพาะสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ชาวยิวถูกกวาดล้างกลายเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จนมีผู้เสียชีวิตนับล้านคน หลายคนอาจมองว่าเหตุการณ์ที่เลวร้ายนี้จะสร้างความซาบซึ้งได้อย่างไร นั่นก็เป็นเพราะว่าเหตุการณ์วิกฤตนี้ได้สร้างฮีโร่ขึ้นมามากมายหลากหลายคนที่พยายามจะช่วยเหลือชาวยิวให้รอดพ้นจากการถูกนำเอาไปรมควันพิษ
หากคุณอยากทราบเรื่องราวเหล่านี้สามารถเข้าไปรับชมได้ในภาพยนตร์เรื่อง Schindler’s List ภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวของนักธุรกิจคนหนึ่งที่มีชื่อว่า ออสก้า เขานั้นเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อทำธุรกิจด้วยการใช้แรงงานชาวยิวที่มีราคาถูก เขานั้นได้ทำความรู้จักสนิทสนมกับเหล่าทหารนาซีสุดโหดพร้อมทั้งจ่ายค่าสินบนเพื่อให้เขาได้ใช้แรงงานชาวยิวแบบกดขี่ แต่โชคดีที่ในวันหนึ่งเขาได้บังเอิญพบเข้ากับการจัดการชาวยิวที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายและทารุณจนเขารู้สึกสะเทือนใจและไม่สามารถรับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ เขาจึงได้ฝันธุรกิจของเขาให้กลายมาเป็นกระบวนการช่วยเหลือชาวยิวจากความตาย ทำให้สุดท้ายหลังสงครามจบลงเขาเป็นคนที่สามารถช่วยเหลือชาวยิวเอาไว้ได้นับพัน
ภาพยนตร์เรื่อง Schindler’s List เพลงภาพยนตร์ที่ออกฉายในปี 1993 แต่เลือกฉายในรูปแบบภาพขาวดำ จะมีเพียงแค่สีเดียวเท่านั้นที่เราจะได้เห็นในภาพยนตร์คือ สีแดง ซึ่งเป็นชุดของ เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกต้อนเข้าค่ายกักกันชาวยิว แม้ว่าชะตากรรมของเด็กหญิงคนนี้จะจบลงแบบไม่สวยแต่เธอก็ได้กลายมาเป็นเครื่องสร้างความเป็นมนุษย์ให้กับนักธุรกิจที่เอาแต่จะแสวงหาประโยชน์เข้าตนอย่างออสก้า ชายผู้นี้รู้ดีว่าเรา นาซี ทำอะไรกับเด็กหญิงตัวเล็กเขาจึงได้ตัดสินใจเปลี่ยนความคิดมาช่วยเหลือชาวยิวในที่สุด ตลอดการเล่าเรื่องของภาพยนตร์นั้นจะเต็มไปด้วยความรู้สึกกดดัน หดหู่ สะเทือนใจ
โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้นที่ตัวละครเอกของเราไม่ใช่คนดี ถึงในช่วงหลังเขาจะเปลี่ยนตัวเองกลับมาช่วยชาวยิวแต่มันก็ยังคงเต็มไปด้วยความรู้สึกเดิม ที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือความซาบซึ้งที่ชาวยิวรับรู้ว่าการกระทำที่สุ่มเสี่ยงของเจ้านายของพวกเขานั้นคือการกำลังช่วยเหลือชีวิตของพวกเขาเอาไว้ ที่น่าสนใจไปมากกว่านั้นคือผู้กำกับของภาพยนตร์เรื่องนี้คือผู้กำกับในตำนานอย่างสตีเว่น สปีลเบิร์ก แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะสามารถสร้างรายได้มหาศาลและกลายเป็นภาพยนตร์ระดับตำนานที่ทำให้คนต้องเสียน้ำตา แต่เขากลับไม่รับค่าตัวเลยแม้แต่บาทเดียวเพราะไม่อยากรับเงินเปื้อนเลือดจากการทำภาพยนตร์เกี่ยวกับการสังหารหมู่